5 วิธีเครื่องฟอกอากาศสำหรับใช้ในบ้านให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
เพราะการมีสุขภาพที่ดีไม่ได้เริ่มต้นที่การออกกำลังกายและเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับคุณภาพของอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่อยู่อาศัยอย่างบ้าน ดังนั้น เพื่อช่วยให้เราและสมาชิกทุกคนในครอบครัวได้มีอากาศบริสุทธิ์เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่แข็งแรงท่ามกลางมลภาวะทางอากาศที่เพิ่มขึ้นนี้ การซื้อเครื่องฟอกอากาศภายในบ้านจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องใส่ใจรายละเอียดให้ดี แต่จะเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศในบ้านอย่างไรให้ตอบโจทย์การดูแลสุขภาพของทุกคนได้ และไม่สร้างภาระทางค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ที่นี่มีคำตอบ
ทำไมต้องใช้เครื่องฟอกอากาศภายในบ้าน
ถึงต้นไม้และลมธรรมชาติจะช่วยทำให้บริเวณบ้านมีคุณภาพอากาศที่ดีขึ้นได้ แต่อากาศที่เราหายใจเข้าไปอยู่นี้ก็ยังมีสิ่งที่เรียกว่า ‘มลภาวะ’ ที่ตาเปล่ามองไม่เห็นอย่าง PM2.5 เขม่าและควันจากรถยนต์ ตลอดจนควันพิษสะสม ซึ่งทำให้ในบางครั้ง ต้นไม้ รวมถึงลมธรรมชาติเองก็ไม่สามารถกำจัดมลภาวะต่าง ๆ เหล่านี้ได้ทันเวลา
ด้วยเหตุนี้ การใช้เครื่องฟอกอากาศภายในบ้านจึงเป็นทางเลือกสำคัญที่ช่วยดูแลไม่ให้มลภาวะต่าง ๆ ส่งผลเสียต่อสุขภาพของคนในครอบครัว ทั้งในเรื่องของระบบทางเดินหายใจ ผิวหนัง ตลอดจนส่งผลต่อพัฒนาการของลูกน้อยได้ และเมื่อประกอบกับที่ประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีมลภาวะและฝุ่นควันสูงติดอันดับโลกแล้ว การมีเครื่องฟอกอากาศก็จะยิ่งเป็นประโยชน์อย่างเห็นได้ชัด
5 เคล็ดลับการเลือกเครื่องฟอกอากาศในบ้าน
เมื่อทราบถึงเหตุผลและเข้าใจความจำเป็นในการมีเครื่องฟอกอากาศกันไปแล้ว ทีนี้ก็ถึงเวลาเลือกซื้อและพิจารณาระบบเครื่องฟอกอากาศให้เหมาะสมกับบ้านและงบประมาณของเรา ซึ่งสามารถทำได้ง่าย ๆ ตาม 5 เคล็ดลับ ดังนี้
1. ดูขนาดห้องที่ต้องการใช้งาน
ก่อนที่จะไปดูถึงสเป็กของเครื่องฟอกอากาศรุ่นใด ทุกคนจะต้องพิจารณาถึงขนาดของห้องเป็นอันดับแรก เพราะไม่เพียงช่วยให้ตัดสินใจได้ว่าจะเลือกเครื่องฟอกอากาศขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ยังช่วยให้เรารู้ถึงงบประมาณที่ต้องใช้ในการซื้อและดูแลอีกด้วย
โดยส่วนใหญ่แล้ว ขนาดของห้องจะส่งผลต่อนวัตกรรมและระบบเครื่องฟอกอากาศ ซึ่งส่งผลต่อราคาของตัวเครื่องด้วย กล่าวคือ หากห้องมีขนาดใหญ่ ระบบภายในเครื่องฟอกอากาศก็ต้องรองรับการทำงานที่สูงขึ้น ราคาของเครื่องฟอกอากาศภายในบ้านก็อาจสูงขึ้นตาม
ดังนั้น อย่าลืมเช็กขนาดของห้องก่อน หรือหากใครรู้ขนาดของห้องคร่าว ๆ แล้วก็สามารถเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศได้จากการเผื่อขนาดห้องออกเล็กน้อย เช่น หากห้องขนาด 30 ตารางเมตรก็ควรเลือกเครื่องที่รองรับพื้นที่ห้องขนาด 30 – 35 ตารางเมตร เป็นต้น
2. เลือกแผ่นกรองให้ดี
ไม่เพียงแต่จะดูขนาดห้องเพื่อตัดสินใจเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่เท่านั้น แต่การเลือกแผ่นกรองที่เหมาะสมก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยทั่วไปแล้ว เครื่องฟอกอากาศในบ้านจะใช้แผ่นกรองอยู่ 3 ประเภทหลัก คือ
- แผ่นคาร์บอน ช่วยกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ภายในบ้านได้
- แผ่น HEPA (High Efficiency Particulate Air) มีประสิทธิภาพในการกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ การกรองฝุ่นละอองในอากาศที่มีขนาดใหญ่ และกรองฝุ่นที่มีอนุภาคขนาดเล็กอย่าง PM2.5 และมลภาวะต่าง ๆ ได้
- แผ่น All-in-One เป็นไส้กรองที่สามารถกรองทั้งกลิ่น ฝุ่น และมลภาวะได้ในตัวเดียว ไม่สามารถล้างทำความสะอาดได้ อีกทั้งมีขนาดเล็กทำให้เหมาะสำหรับเครื่องฟอกอากาศภายในบ้านสำหรับห้องเล็ก ๆ หรือใช้ฟอกอากาศในรถยนต์
นอกจากนี้ ผู้ผลิตและพัฒนาระบบเครื่องฟอกอากาศยังมีแผ่นกรองอากาศประเภทต่าง ๆ ที่ช่วยตอบโจทย์ความต้องการด้านอื่น เช่น แผ่นกรองที่ฆ่าเชื้อไวรัสได้ ไส้กรองสำหรับคนเป็นภูมิแพ้ที่จะกรองสารก่อภูมิแพ้อย่างไรฝุ่นและเกสรดอกไม้ หรือหากบ้านไหนตั้งอยู่ใกล้กับโรงงานอุตสาหกรรม บริษัทผู้ผลิตบางเจ้าก็มีแผ่นกรองที่ฟอกและกันสารเคมีออกมาเช่นกัน
3. เช็กความเร็วในการฟอกอากาศ
ความเร็วในการทำความสะอาดอากาศนั้นส่งผลต่อราคาของเครื่องฟอกอากาศโดยตรง ซึ่งการพิจารณาความเร็วในส่วนนี้จะดูได้จาก 2 ปัจจัย คือ
- ค่า Air Flow คือ ค่าความเร็วในการกรองและปล่อยอากาศที่มีคุณภาพของเครื่องฟอกอากาศ
- ค่า CADR (Clean Air Delivery) คือ ความสามารถในการฟอกอากาศในเวลา 1 นาที
หากเครื่องฟอกอากาศภายในบ้านที่สนใจมีค่า 2 ตัวนี้สูงมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพตรวจจับสิ่งแปลกปลอม และสามารถฟอกอากาศดี ซึ่งไม่ว่าจะใช้เครื่องฟอกอากาศเวลาใด เปิดตอนไหน ในห้องประเภทอะไรก็จะสามารถฟอกอากาศได้ดีและมีประสิทธิภาพนั่นเอง
4. พิจารณาความจำเป็นของฟังก์ชันต่าง ๆ
ในปัจจุบันนี้ เครื่องฟอกอากาศไม่ได้มีประโยชน์แค่ช่วยทำให้อากาศบริสุทธิ์เท่านั้น แต่ยังมีฟังก์ชันพลาสม่าคลัสเตอร์ที่ช่วยกำจัดเชื้อโรค เชื้อไวรัส เพิ่มโอโซน หรืออาจดักจับสิ่งสกปรก รวมถึงยุงและแมลงต่าง ๆ ได้ ซึ่งการมีฟังก์ชันการใช้งานที่มากขึ้นนี้ก็จะส่งผลต่อราคาของเครื่องได้โดยตรง
ด้วยเหตุนี้ เพื่อเลือกเครื่องฟอกอากาศภายในบ้านให้เหมาะสมกับงบประมาณมากที่สุด เราอยากแนะนำให้ลองพิจารณาถึงความจำเป็นของฟังก์ชันต่าง ๆ ให้ดี เช่น หากบ้านไหนมีเด็กเล็กก็อาจใช้เครื่องฟอกอากาศที่มีปุ่มล็อกการทำงานเพื่อป้องกันความเสียหายและอันตรายที่อาจเกิดขึ้น หรือหากครอบครัวต้องการความสงบในพื้นที่บ้านก็สามารถเลือกตัวเครื่องที่มาพร้อมฟังก์ชันการทำงานแบบไร้เสียง เป็นต้น
5. อย่าลืมคำนวณค่าใช้จ่ายระยะยาว
นอกจากจะเตรียมเงินแล้ว ผู้ใช้งานอย่างเรา ๆ ยังต้องคำนวณค่าใช้จ่ายส่วนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอีกด้วย ซึ่งค่าใช้จ่ายในส่วนนี้จะประกอบไปด้วยค่าตัวกรอง ค่าบำรุงรักษาเครื่อง และค่าซ่อมแซมในกรณีที่เสียหาย
นอกจากนี้ เรายังอยากขอแนะนำให้ทุกคนลองพิจารณาถึงความน่าเชื่อถือของผู้ผลิตเครื่องฟอกอากาศภายในบ้านร่วมด้วย เพราะหากผู้ผลิตไม่มีความน่าเชื่อถือแล้ว ไม่เพียงแต่จะเสี่ยงได้ของไม่มีการรับประกัน รวมถึงไม่มีอะไหล่เปลี่ยน และทำให้ต้องเสียเงินตามจุดต่าง ๆ เพิ่มขึ้นแล้ว เครื่องฟอกอากาศที่ได้ก็อาจไม่มีคุณภาพและเป็นอันตรายต่อทุกคนได้
เพราะสุขภาพที่แข็งแรงเริ่มต้นที่คุณภาพอากาศที่ดี ผู้ผลิตเครื่องฟอกอากาศภายในบ้าน Wells มาพร้อมเครื่องฟอกอากาศคุณภาพสูงที่สามารถกรองฝุ่นและมลภาวะขนาดเล็ก 0.03 ไมครอนได้ถึง 99.997% ด้วยฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลาย มีอะไหล่และบริการหลังการขายแบบครบวงจร พร้อมการออกแบบการันตีรางวัล IDEA Design and Good Design Awards Wells พร้อมดูแลสุขภาพของคนที่คุณรักด้วยอากาศบริสุทธิ์ที่ลงตัวทุกการออกแบบและไลฟ์สไตล์อย่างแท้จริง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ โทรศัพท์ 065 695 6525