เชื้อโรคและฝุ่นละอองที่อยู่ในอากาศมีขนาดเล็กจนสายตาไม่สามารถมองเห็นได้ ด้วยเหตุนี้ การมีเครื่องกรองอากาศและละอองฝุ่นติดตั้งไว้ยังสถานที่ต่าง ๆ ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม อย่างไรก็ดี บ่อยครั้งหลายคนอาจต้องพบเจอกับ “ปัญหาห้องมีกลิ่นอับ” จนทำให้รู้สึกไม่สดชื่น ทั้ง ๆ ที่ภายในห้องมีการเปิดเครื่องกรองอากาศเอาไว้แล้ว หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่กำลังแก้ปัญหานี้ไม่ตก ลองมาทำความรู้จักกับ 5 วิธีแก้ปัญหา พร้อมพิจารณาถึงวิธีการเลือกเครื่องฟอกอากาศให้เหมาะกับห้องที่นำมาฝากในวันนี้กัน
1. เลือกเครื่องฟอกอากาศตามขนาดห้อง
การเลือกเครื่องฟอกอากาศให้เหมาะกับห้องเล็กและทุกขนาดพื้นที่ใช้สอย เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยทำให้เครื่องฟอกอากาศทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ทั้งในเรื่องของการกรองฝุ่นละออง เชื้อโรค รวมไปถึงการกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ภายในห้อง ซึ่งการเลือกเครื่องกรองอากาศที่มีขนาดเล็กเกินไปอาจทำให้ห้องมีกลิ่นอับและรู้สึกไม่สดชื่นเท่าที่ควร เนื่องจากตัวเครื่องไม่สามารถทำงานได้อย่างครอบคลุม
โดยทั่วไปแล้ว เพื่อประสิทธิภาพการใช้งานที่ดีที่สุด เครื่องฟอกอากาศจะต้องกรองอากาศได้กว้างกว่าพื้นที่ห้องที่ต้องการจะใช้อย่างน้อย 20% เช่น หากห้องมีขนาด 20 ตารางเมตรก็ควรเลือกเครื่องกรองอากาศและละอองฝุ่นสำหรับห้องที่มีขนาด 20 – 25 ตารางเมตรขึ้นไป
ดังนั้น หากใครเจอปัญหาห้องมีกลิ่นอับทั้ง ๆ ที่เปิดเครื่องฟอกอากาศอยู่ล่ะก็ ขอแนะนำให้ลองเช็กความสามารถในการกรองอากาศของเครื่องนั้น ๆ ก่อนว่า เพียงพอต่อขนาดของห้องหรือไม่ หากพบว่าไม่เพียงพอก็อาจพิจารณาเปลี่ยนและเลือกเครื่องฟอกอากาศตามขนาดห้องแทน
2. หมั่นทำความสะอาดและเช็กอายุการใช้งานของแผ่นกรอง
สำหรับบ้านไหนที่เลือกเครื่องฟอกอากาศตามขนาดห้องแล้ว แต่ภายในห้องยังคงมีกลิ่นไม่พึงประสงค์อยู่ ไม่แน่ว่าอาจเกิดขึ้นจากการไม่ได้ทำความสะอาดตัวกรอง หรือการใช้งานแผ่นกรองอากาศที่หมดอายุการใช้งานแล้วก็เป็นได้
โดยแผ่นกรองอากาศนี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยในการดักจับฝุ่นและเชื้อโรคเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยกรองกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ ได้ ซึ่งเมื่อใช้งานไปสักระยะ อาจทำให้เกิดการสะสมของเชื้อโรคจนก่อให้เกิดกลิ่นอับภายภายในเครื่องฟอกอากาศได้เช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ หากแผ่นกรองอากาศของเครื่องกรองอากาศและละอองฝุ่นยังไม่หมดอายุ และผ่านการใช้งานมาสักระยะ ขอแนะนำให้นำตัวแผ่นกรองออกมาดูดฝุ่นและทำความสะอาดให้เรียบร้อย และควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำทำความสะอาด เนื่องจากอาจทำให้ชั้นกรองเสียหาย และทำให้ไม่สามารถกรองอากาศได้เต็มประสิทธิภาพเหมือนอย่างเคย
แต่สำหรับบ้านไหนที่ตัวกรองอากาศหมดอายุ หรือ หมดประสิทธิภาพการใช้งานแล้ว อย่าลืมเปลี่ยนแผ่นกรองอากาศใหม่ให้เร็วที่สุด เพราะตัวกรองอากาศที่หมดอายุนี้จะไม่สามารถกรองฝุ่น เชื้อโรค รวมถึงกลิ่นในอากาศ และอาจทำให้สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ลอยเข้าไปและสร้างความเสียหายให้กับระบบการทำงานของเครื่องฟอกอากาศได้
3. อย่าลืมทำความสะอาดตัวเครื่องด้านนอก
นอกจากจะรักษาความสะอาดของตัวกรองด้านในแล้ว การทำความสะอาดตัวเครื่องด้านนอกก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะเมื่อใช้งานไปสักระยะ ตัวเครื่องกรองอากาศอาจมีละอองฝุ่น รวมถึงคราบต่าง ๆ มาเกาะที่บริเวณภายนอก ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้ไม่น่ามองเท่านั้น แต่บริเวณด้านนอกนี้อาจกลายเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคแห่งใหม่ที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ ทั้งยังก่อให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ภายในห้องได้
โดยทุกคนสามารถเริ่มทำความสะอาดได้ง่าย ๆ ด้วยการนำผ้าสะอาดชุบน้ำหมาด ๆ จากนั้นเช็ดตามตัวเครื่องให้เรียบร้อย จากนั้นใช้ผ้าแห้งเช็ดคราบฝุ่นและสิ่งสกปรกที่เกาะอยู่บริเวณหน้ากากของแผ่นกรองออกให้หมด เพียงเท่านี้ก็สามารถช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ภายในห้อง ทั้งยังเป็นการยืดอายุตัวกรองและเครื่องฟอกอากาศได้อีกด้วย
4. วางตำแหน่งเครื่องฟอกอากาศให้เหมาะสม
แม้การวางเครื่องฟอกอากาศไว้ในห้องจะช่วยกรองอากาศให้บริสุทธิ์ได้ แต่รู้หรือไม่? การวางตำแหน่งเครื่องฟอกอากาศที่ไม่เหมาะสม ไม่เพียงแต่จะทำให้เครื่องฟอกอากาศทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพได้อีกด้วย โดยไม่ว่าจะเป็นเครื่องกรองอากาศขนาดเล็กหรือใหญ่ ขอแนะนำให้ทุกคนวางเครื่องฟอกอากาศไว้ตามตำแหน่งต่าง ๆ ดังนี้
1. วางไว้ยังบริเวณที่อากาศหมุนเวียนทั้งห้อง
เช่น กลางห้อง ปลายเตียง หรือบริเวณที่มีกลิ่นอับและต้องการกรอง ที่สำคัญ ควรงดการวางเครื่องฟอกอากาศไว้ที่มุมห้อง ใต้โต๊ะ หรือบริเวณอับ เนื่องจากอากาศบริสุทธิ์จะไม่หมุนเวียนในห้อง
2. ควรวางเครื่องฟอกอากาศในระยะที่เหมาะสม
ควรวางเครื่องฟอกอากาศให้ด้านหลังห่างจากกำแพงอย่างน้อย 10 เซนติเมตร และด้านข้างห่างจากเฟอร์นิเจอร์ชิ้นอื่น ๆ อย่างน้อย 20 เซนติเมตร เพื่อทำให้อากาศหมุนเวียนได้สะดวก
3. ไม่ควรวางเครื่องฟอกอากาศไว้ที่หัวเตียง และ หน้าเครื่องปรับอากาศ
เนื่องจากตัวเครื่องฟอกอากาศจะดูดอากาศที่ยังไม่สะอาดเข้ามากรอง ซึ่งหากวางไว้หน้าเครื่องปรับอากาศก็จะเป็นการดูดอากาศที่ไม่สะอาดมากระจายต่อทั่วห้อง นอกจากนี้ เครื่องปรับอากาศยังมีแรงดูดอากาศมากกว่า จึงอาจทำให้ตัวกรองอากาศทำหน้าที่ไม่เต็มประสิทธิภาพ ที่สำคัญ ถ้าวางเครื่องฟอกอากาศไว้ที่หัวนอนก็จะเป็นดึงอากาศที่ยังไม่ได้กรองมาให้เราได้สูดหายใจนั่นเอง
4. ไม่ควรวางเครื่องกรองอากาศและละอองฝุ่นหน้าห้องน้ำ
เนื่องจากความชื้นจากห้องน้ำอาจทำให้ตัวกรองเสื่อมประสิทธิภาพเร็ว ทั้งยังก่อให้เกิดเชื้อราและแบคทีเรียสะสมในแผ่นกรองอากาศได้อีกด้วย
5. ใช้เครื่องฟอกอากาศในพื้นที่ปิดเท่านั้น
หลายบ้านอาจเข้าใจว่า เครื่องฟอกอากาศนั้นสามารถเปิดใช้งานเพื่อกรองอากาศธรรมชาติเข้าสู่บ้านได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เครื่องกรองอากาศและละอองฝุ่น ไม่ว่าจะเป็นขนาดเล็กหรือใหญ่นั้น จะได้รับการออกแบบมาเพื่อกรองอากาศในพื้นที่ปิดเท่านั้น
โดยการเปิดบ้านและหน้าต่างออกเพื่อให้ตัวเครื่องฟอกอากาศให้นั้น ไม่เพียงแต่จะทำให้ตัวเครื่องทำงานหนักและเสื่อมอายุไวเท่านั้น แต่ผู้ใช้งานก็จะไม่ได้รับอากาศที่สะอาดเท่าที่ควร เนื่องจากอากาศที่กรองแล้วจะเข้าไปปะปนกับอากาศที่ยังมีฝุ่นละออง กลิ่นอับ รวมถึงเชื้อโรคปะปนอยู่
รู้แบบนี้แล้ว อย่าลืมกลับไปสำรวจเครื่องฟอกอากาศตัวเองอีกครั้ง พร้อมเลือกใช้งานให้ถูกต้องเพื่อประสิทธิภาพในการกรองอากาศที่ดีที่สุด แต่สำหรับใครที่ยังไม่มีเครื่องกรองอากาศและละอองฝุ่นที่ตอบโจทย์ทั้งดีไซน์และการใช้งาน Wells มาพร้อมกับเครื่องฟอกอากาศนวัตกรรมจากประเทศเกาหลีใต้ กรองฝุ่นได้ละเอียดสูงสุด 99.999% ทั้งยังมีฟังก์ชันกรองเชื้อโรค ไวรัส และแบคทีเรียเพื่อสุขภาพและอากาศที่บริสุทธิ์ของทุกคนในบ้าน รองรับทุกพื้นที่การใช้งานอย่างลงตัว การันตีด้วยรางวัลการออกแบบจากสถาบันระดับโลกอย่าง IDEA Design Award สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ เบอร์ 065-695-6525